คำแถลงการณ์ของ Emily Doe [1/2]

The Powerful Letter The Stanford Victim Read To Her Attacker

makmild
3 min readNov 14, 2022

source

cr. https://www.kqed.org/arts/13884693/sf-public-library-opens-for-front-door-service-announces-one-city-one-book-pick-for-2021

ก่อนเข้าเรื่อง

เราแปลถ้อยแถลงของเอมิลี่ (หรือ ชาแนล) หลังจากที่อ่านหนังสือเรื่อง Know my name จบแล้วรู้สึกว่าอยากให้หลายๆ คนได้อ่านถึงพลังของหญิงสาวคนนี้ เรารู้สึกว่าสิ่งที่เขาเขียน สิ่งที่เขาเจอ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเหตุการณ์เล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้นอีก

หลายคนอาจจะไม่รู้จักคดีนี้ แต่เมื่อปี 2016 ที่เกิดเหตุการณ์นี้นับว่าเป็นคดีดังมากค่ะ ชาแนลในวัย 22 โดนล่วงละเมิดทางเพศตอนหมดสติ และตื่นมาพบว่าตนเองเป็นเหยื่อ

ตอนที่อ่านเรื่องราวของชาแนล เรานึกถึงประเทศไทย ถ้ามีคดีแบบนี้เกิดขึ้นคงไม่แคล้วต้องโทษเหยื่อก่อน (แม้ในปัจจุบันจะดีขึ้นมากแล้วก็ตาม) อยากให้หนังสือเล่มนี้มีแปลไทยมากเลยค่ะ แต่เราคงไม่สามารถที่จะแปลหนังสือได้ทั้งเล่ม จึงขอแปลในส่วนของถ้อยแถลงที่ชาแนลให้การแทน

การแปลครั้งนี้มีมิตรสหาย (https://medium.com/@itisamook) คอยช่วยตรวจและแก้ไขข้อผิดพลาดให้ ขอขอบคุณเป็นอย่างมาก และหากมีสิ่งใดที่ผิดพลาดในบทความนี้ dm มาบอกได้เลยค่ะ พร้อมแก้ไข

ตอนนี้เรามาอ่านถ้อยแถลงนี้กันดีกว่าค่ะ

เรียนศาลที่เคารพ หากนี่เป็นสิทธิ์ที่ฉันสามารถทำได้ ส่วนใหญ่ของคำแถลงการณ์นี้ฉันต้องการพูดกับจำเลยโดยตรงค่ะ

คุณไม่รู้จักฉัน แต่คุณเข้ามาในตัวฉัน และนั่นคือเหตุผลที่เรามาอยู่ที่นี่ในวันนี้

คืนวันเสาร์ที่เงียบสงบของวันที่ 17 มกราคม 2015 ในบ้าน พ่อของฉันทำอาหารเย็น และฉันนั่งที่โต๊ะกับน้องสาวที่มาหาในช่วงสุดสัปดาห์ ฉันทำงานมาทั้งวัน และใกล้ถึงเวลานอนแล้ว วางแผนไว้ว่าจะอยู่บ้าน ดูทีวีไม่ก็อ่านหนังสือ ขณะที่เธอไปงานปาร์ตี้กับเพื่อนๆ แต่แล้วฉันก็ตัดสินใจ นี่เป็นคืนเดียวที่ฉันได้อยู่กับน้องสาวนะ และฉันก็ไม่มีอะไรให้ทำเป็นพิเศษ งั้นก็ไปปาร์ตี้โง่ๆ ที่อยู่ห่างจากบ้านแค่ 10 นาที ไปเต้นโง่ๆ ทำให้น้องของฉันอาย

ระหว่างทางไปงาน ฉันพูดขำๆ ว่าพวกเด็กมหาลัยต้องมีถุงยางแหง น้องสาวฉันเลยหยอกที่ฉันใส่คาร์ดิแกนสีเบจไปปาร์ตี้เหมือนบรรณารักษ์ ฉันเรียกตัวเองว่า “บิ๊กมาม่า” เพราะรู้ตัวว่าที่นั่นฉันแก่สุด ฉันทำตัวให้สนุก ผ่อนคลาย และดื่มเร็วเกินไปโดยไม่ทันรู้ว่าลิมิตของตัวเองลดลงไปมากเมื่อเทียบกับตอนมหาวิทยาลัย

สิ่งที่ฉันจำได้ต่อมาคือ ฉันนอนอยู่บนเตียงพยาบาลในโถงทางเดิน มีรอยเลือดและผ้าพันแผลที่หลังมือและข้อศอก ฉันคิดว่าฉันคงหกล้มและตอนนี้ถูกรักษาอยู่ในมหาวิทยาลัย ฉันใจเย็นมากและสงสัยว่า น้องฉันอยู่ที่ไหนนะ เจ้าหน้าที่อธิบายว่า ฉันถูกข่มขืน ฉันยังคงใจเย็นอยู่ มั่นใจว่าเขาคงพูดถึงคนอื่น เพราะฉันไม่รู้จักใครในปาร์ตี้เลย

ในที่สุด เมื่อได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องน้ำ ฉันดึงกางเกงของโรงพยาบาลลง ดึงกางเกงในลง และไม่รู้สึกอะไรเลย ฉันยังคงจำความรู้สึกของมือที่แตะลงบนผิวแต่สัมผัสได้แค่ความว่างเปล่า มองไปลงไปก็ไม่เห็นมีอะไร ผ้าชิ้นเล็กๆ คือสิ่งเดียวที่อยู่ระหว่างช่องคลอดกับสิ่งอื่นๆ และทุกอย่างในตัวฉันก็เงียบไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีคำพูดอธิบายความรู้สึกนั้นเลย แต่เพื่อที่จะหายใจต่อไปได้ ฉันคิดว่าตำรวจอาจะใช้กรรไกรตัดออกเพื่อเก็บเป็นหลักฐาน

แล้วฉันก็รู้สึกถึงหนามจากใบต้นส้นอยู่หลังคอ เลยเริ่มที่จะดึงมันออกมาจากผม บางทีมันคงหล่นมาจากต้นแล้วตกใส่หัว สมองพยายามจะบอกกับท้องไส้ไม่ให้ปั่นป่วน เพราะสัญชาตญาณกำลังร้องว่า ช่วยด้วย ช่วยฉันที

ฉันถูกสับเปลี่ยนจากห้องหนึ่งสู่อีกห้องหนึ่ง โดยมีผ้าห่มพันอยู่รอบตัว พวกหนามใบสนยังคงติดตามตัว ทิ้งเป็นกองเล็กๆ ไว้ในทุกห้องที่ฉันไป ฉันถูกขอให้เซ็นเอกสารที่เขียนว่า “เหยื่อการข่มขืน” ถึงตอนนี้แล้วฉันคิดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ เสื้อผ้าของฉันถูกยึด

ฉันยืนเปลือยกายในขณะที่พยาบาลถือไม้บรรทัดวัดร่างกายและถ่ายรูป พวกเราสามคนช่วยกันหวีใบไม้ออกจากผมของฉัน หกมือช่วยกันเอาเศษใบไม้ออกจนเต็มถุง เพื่อให้ฉันสงบลง พวกเขาบอกว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป เดี๋ยวมันก็จบแล้ว ฉันมีไม้พันสำลีสอดเข้าไปในช่องคลอดและทวารหนัก เข็มฉีดยา ยาเม็ด กล้อง Nikon เล็งไปที่ขาที่กางออกของฉัน ช่องคลอดถูกทาด้วยน้ำสีน้ำเงินเย็นๆ เพื่อตรวจหารอยถลอก และเครื่องมือจะงอยปากยาวและแหลมอยู่ในตัวฉัน

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็ให้ฉันอาบน้ำ ฉันยืนพิจารณาร่างกายใต้ฝักบัวแล้วตัดสินใจว่า ฉันไม่อยากได้ร่างนี้อีกต่อไป ฉันกลัว ฉันไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายในร่างกายตัวเอง ถ้ามันแปดเปื้อน ใครละที่เป็นคนทำ ฉันอยากถอดร่างกายเหมือนที่ถอดแจ็กเก็ตแล้วทิ้งมันพร้อมทุกอย่างไว้ที่โรงพยาบาล

เช้าวันนั้นมีคนบอกว่าฉันถูกเจอหลังกองขยะ มีความเป็นไปได้ว่าน่าจะถูกสอดใส่เข้าไปโดยคนแปลกหน้า และควรเข้ารับการตรวจ HIV อีกครั้ง เพราะผลไม่ได้แสดงขึ้นในทันทีเสมอไป แต่สำหรับตอนนี้ ฉันควรกลับบ้าน กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ลองนึกภาพตามว่าฉันต้องกลับไปใช้ชีวิตตามปกติด้วยข้อมูลพวกนี้ ก่อนที่จะเดินออกจากโรงพยาบาลไปลานจอดรถ พวกเขากอดฉันแน่น ฉันสวมเสื้อสเวตเตอร์และกางเกงวอร์มตัวใหม่ที่พวกเขาให้มา เพราะพวกเขาอนุญาตให้ฉันเก็บได้แค่สร้อยคอและรองเท้าเท่านั้น

น้องสาวเป็นคนมารับ ใบหน้าของเธอเปียกปอนจากน้ำตา และบิดเบี้ยวเพราะความปวดร้าว ด้วยสัญชาตญาณโดยทันที ฉันอยากให้ความรวดร้าวของน้องหายไป ฉันยิ้มให้เธอ บอกให้มองมาที่ฉัน พี่อยู่นี่แล้ว พี่โอเค ทุกอย่างเรียบร้อยดี ผมสะอาดหมดจดจากแชมพูแปลกๆ ที่เค้าให้สระด้วยนะ ใจเย็นๆ นะ ดูสิ กางเกงกับเสื้อพวกนี้ทำให้พี่ดูเหมือนอาจารย์พละเเน่ะ เรากลับบ้านแล้วไปหาอะไรกินกันเถอะ น้องสาวไม่รู้ว่าภายใต้ชุดวอร์ม ฉันมีรอยขีดข่วนและผ้าพันแผลเต็มตัว เจ็บที่อวัยวะเพศและมันเริ่มเปลี่ยนสีคล้ำเข้มแปลกๆ จากสิ่งที่เจอมาทั้งหมด ชุดชั้นในหายไป ฉันรู้สึกว่างเปล่าเกินกว่าจะพูดออกไป ว่าฉันก็กลัว ว่าฉันก็แหลกสลาย วันนั้นเรานั่งรถกลับบ้านด้วยกันหลายชั่วโมงในความเงียบงัน น้องสาวโอบกอดฉันไว้ตลอดทาง

แฟนของฉันยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาโทรมาถามว่า “เมื่อคืนผมเป็นห่วงคุณมากเลย คุณทำผมกลัวนะ คุณกลับถึงบ้านปลอดภัยใช่มั้ย?” ฉันตกใจ เป็นตอนนั้นเองฉันถึงรู้ว่าตัวเองโทรหาเขาในวันที่ภาพตัดด้วย ฉันทิ้งข้อความเสียงที่เข้าใจยากเอาไว้ เสียงของฉันอ้อแอ้หนักมากซึ่งทำให้เขากลัวจนต้องบอกว่ากับฉันซ้ำๆ ว่า ให้ไปหา [น้องสาว] เถอะ “แล้วเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น? คุณกลับถึงบ้านปลอดภัยใช่มั้ย?” เขาถามฉันอีกครั้ง ฉันตอบว่าใช่ วางสายแล้วร้องไห้

ฉันไม่พร้อมที่จะบอกพ่อแม่หรือแฟนว่าจริงๆ แล้วฉันถูกข่มขืนหลังกองขยะโดยใครก็ไม่รู้ ที่ไหนก็ไม่รู้ เมื่อไรก็ไม่รู้ อย่างไรก็ยังไม่รู้ ถ้าหากฉันบอกพวกเขาไป ฉันจะเห็นว่าพวกเขากลัวแค่ไหน แล้วมันจะทำให้ฉันกลัวมากกว่าเดิมอีกเป็นสิบเท่า เพราะฉะนั้นฉันจึงแสร้งทำเป็นว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องจริง

ฉันพยายามไม่คิดถึงมัน แต่มันยากมากจริงๆ ฉันไม่พูด ไม่กิน ไม่นอน ไม่ยุ่งกับใครเลย หลังเลิกงาน ฉันจะขับรถไปหาที่กรีดร้องในที่เปลี่ยว ฉันไม่พูด ไม่กิน ไม่นอน ไม่ยุ่งกับใครเลย และแยกห่างจากคนที่ฉันรัก เป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์นั้น ฉันไม่ได้รับสาย หรือได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคืนนั้นหรือเกิดอะไรขึ้นกับฉัน อย่างเดียวที่พิสูจน์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ใช่แค่ฝันร้ายแต่เป็นเรื่องจริงคือ เสื้อสเวตเตอร์ของโรงพยาบาลในตู้ลิ้นชักเสื้อผ้า

อยู่มาวันหนึ่ง ฉันอยู่ที่ทำงาน เลื่อนดูข่าวในโทรศัพท์และเจอบทความหนึ่ง เป็นครั้งแรกที่ฉันได้อ่านและรู้เกี่ยวกับตัวเองว่าถูกพบช่วงหมดสติได้อย่างไร ผมยุ่งกระเซิง สร้อยคอยาวพันรอบคอ เสื้อชั้นในหลุดออกจากชุด ชุดถูกดึงลงจากบ่าและถกขึ้นเหนือเอว ท่อนล่างของฉันเปลือยเปล่า ขาฉีกออกเป็นสองข้าง และถูกสอดใส่โดยสิ่งแปลกปลอมจากใครสักคนที่ฉันไม่รู้จัก

ฉันเรียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองตอนนั่งอ่านข่าวอยู่ในที่ทำงาน ฉันได้รู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวพร้อมๆ กับคนทุกคนในโลกได้รู้เรื่องนี้ จู่ๆ ใบของต้นสนที่ปักในผมฉันก็ดูสมเหตุสมผลขึ้นมาทันที ใบของมันไม่ได้ร่วงมาจากต้น มีใครบางคนถอดชุดชั้นในของฉัน นิ้วของเขาสอดเข้าไปในตัวฉัน ฉันไม่รู้จักเขา ฉันยังไม่รู้จักคนคนนี้เลยด้วยซ้ำ พอได้อ่านเรื่องราวของตัวเองแบบนี้ ฉันได้แต่พูดว่า นี่ไม่ใช่ฉันหรอก ไม่ใช่ฉันแน่ๆ ฉันไม่สามารถรับข้อมูลข่าวสารนี้ได้จริงๆ ฉันนึกภาพครอบครัวที่ต้องอ่านเรื่องผ่านทางออนไลน์ไม่ออกเลย แต่ฉันก็ยังคงอ่านต่อไป ในย่อหน้าถัดมา ฉันได้อ่านบางประโยคที่ไม่มีวันให้อภัยได้เด็ดขาด ตามที่เขาบอก ฉันชอบมัน ฉันชอบที่โดนแบบนี้ นี่เป็นอีกครั้งที่ฉันไม่สามารถอธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้

มันเหมือนกับตอนที่คุณได้อ่านข่าวอุบัติเหตุรถชนและ ถูกพบในสภาพมีรอยบุบอยู่ในคูน้ำ บางทีรถคันนี้อาจจะถูกชนแบบตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้ อุบัติเหตุทางยานยนต์เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาไม่มีใครใส่ใจว่าใครจะผิดหรือถูกหรอก

หลังจากฉันได้อ่านรายละเอียดและเห็นภาพการโดนล่วงละเมิดทางเพศของตัวเอง ที่ท้ายบทความ ได้แนบสถิติการว่ายน้ำของเขามาให้ด้วย

หลังจากฉันได้อ่านรายละเอียดและเห็นภาพการโดนล่วงละเมิดทางเพศของตัวเอง ที่ท้ายบทความเขียนว่า มีคนพบว่าเธอว่ายังหายใจอยู่แต่หมดสติโดยชุดชั้นในตกอยู่ห่างท้องที่เปลือยเปล่าไป 6 นิ้ว ขดตัวราวกับเด็กทารก อย่างไรก็ตาม เขาว่ายน้ำได้ดีจริงๆ และได้แนบสถิติการว่ายน้ำของเขามาให้ด้วย ถ้านี่คือสิ่งที่เรากำลังทำ งั้นก็บวกระยะไมล์ของฉันเข้าไปด้วย เพิ่มไปด้วยว่าฉันทำอาหารเก่ง ฉันคิดว่าตอนสุดท้ายที่เพิ่มกิจกรรมนอกหลักสูตรนั้นทำไปเพื่อชดเชยความผิดอันน่ารังเกียจที่เกิดขึ้นต่างหาก

คืนที่มีข่าวออกมา ฉันนั่งคุยกับพ่อแม่และบอกพวกเขาว่าฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศ ฉันไม่ให้พวกเขาดูข่าว เพราะมันจะทำให้อารมณ์เสีย แค่รู้ว่าฉันไม่เป็นไร ฉันอยู่ตรงนี้ ฉันไม่เป็นอะไรเลยจริงๆ ก็พอแล้ว แต่พอบอกไปได้สักครึ่งนึง แม่ต้องเข้ามากอดฉันเอาไว้เพราะฉันยืนขึ้นเองไม่ไหวแล้ว

หลังจากคืนนั้น เขาบอกว่าไม่รู้จักชื่อของฉัน ไม่สามารถแม้แต่จะจำชื่อหน้าตาของฉันได้ ไม่มีการพูดถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้น ฉันกับเขาแค่เต้นและจูบกัน ใช้คำว่า “เต้น” มันก็ดูน่ารักดี ว่าแต่เต้นคือการดีดนิ้วและหมุนตัว หรือแค่ร่างกายเบียดสีกันในห้องที่แออัดไปด้วยคนล่ะ? ฉันสงสัยเรื่องจูบด้วยว่ามันเป็นแค่ใบหน้าที่เผอิญชนกันของแต่ละคนหรือเปล่า?

ตอนที่นักสืบถามว่า ‘เขาตั้งใจพาฉันไปกลับไปที่หอด้วยหรือเปล่า’ เขาบอกว่า ‘เปล่า’ นักสืบถามต่ออีกว่า แล้ว ‘พวกเรามาจบที่หลังกองขยะได้อย่างไร’ เขาบอกว่า ‘ไม่รู้’ เขายอมรับว่าเคยจูบผู้หญิงคนอื่นในงานปาร์ตี้ หนึ่งในนั้นคือน้องสาวของฉันเองที่ผลักเขาออกไป เขายอมรับว่าอยากเอาใครสักคน แล้วฉันก็เป็นละมั่งบาดเจ็บในฝูง โดดเดี่ยวและอ่อนแอ ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ เขาเลยเลือกฉัน บางครั้งฉันคิดว่า ถ้าฉันไม่ไป เรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่แล้วฉันก็ตระหนักได้ว่า อย่างไรมันก็จะเกิดขึ้นแค่กับอื่นเท่านั้น คุณกำลังจะก้าวเข้าสู่ช่วงสี่ปีของการได้เข้าถึงบรรดาสาวๆ ขี้เมาและงานปาร์ตี้ ถ้านี่คือจุดยืนของคุณ เช่นนั้นก็ถูกแล้ว ที่คุณไม่ได้ไปต่อ หลังจากคืนนั้น เขาบอกว่า เขาคิดว่าฉันชอบ เพราะฉันลูบหลังเขา แค่ลูบหลังเท่านั้น

ไม่มีการพูดถึงความยินยอมของฉัน ไม่แม้แต่จะเอ่ยถึงการพูดคุยกัน แค่ลูบหลัง ลูบหลังเท่านั้น เป็นอีกครั้งที่ฉันได้รู้จากการอ่านข่าว ช่องคลอดและบั้นท้ายของฉันเปล่าเปลือยโดยสมบูรณ์ หน้าอกถูกขย้ำ นิ้วมือสอดใส่เข้ามาภายในร่างกายฉันพร้อมกับใบไม้และเศษซากอื่นๆ ผิวและผมที่เปลือยเปล่าถูไปกับกองขยะที่อยู่ข้างหลัง ในขณะเด็กปีหนึ่งกลัดมันกำลังเอากับร่างกึ่งเปลือยที่ไร้สติของฉัน แต่ฉันจำอะไรไม่ได้เลย แล้วจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าฉันไม่ได้ชอบที่โดนแบบนี้

ฉันไม่คิดว่าเรื่องนี้จะถึงศาลได้ เพราะแม้จะมีพร้อมทั้งพยาน และหลักฐานในร่างกายฉัน เขาวิ่งหนีไปแต่ก็ถูกจับได้ เขาจะได้ชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองทำ ขอโทษฉันอย่างเป็นทางการ แล้วเราทั้งคู่จะได้เดินหน้าต่อไปได้ แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ฉันได้ยินว่าเขาจ้างทนายผู้มีอำนาจ พยานผู้เชี่ยวชาญ นักสืบเอกชนที่พยายามสืบหารายละเอียดชีวิตส่วนตัวของฉันเพื่อใช้ต่อต้านฉัน หาช่องโหว่ในเรื่องของฉันและน้องสาวเพื่อทำให้คดีนี้เป็นโมฆะ เพื่อทำให้เห็นว่า การล่วงละเมิดทางเพศนี้เป็นแค่ความเข้าใจผิด เขาทุ่มสุดตัวเพื่อโน้มน้าวทั้งโลกให้รู้ว่า เขาแค่สับสนเท่านั้น

ฉันไม่ได้แค่ถูกบอกว่าตัวเองโดนล่วงละเมิด แต่ถูกบอกเพราะว่าจำอะไรไม่ได้เลย หมายความว่าในทางเทคนิคแล้ว ฉันไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวเองไม่ต้องการสิ่งนั้น และนั่นถือเป็นการทำร้ายกัน บิดเบือนตัวตนกัน มันเกือบทำให้ฉันแตกสลาย เป็นความสับสนอันน่าเศร้าที่สุดเมื่อบอกว่า ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศและเกือบถูกข่มขืนในที่โล่ง แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จะถูกนับว่าเป็นคดีล่วงละเมิดทางเพศหรือไม่ ฉันต้องสู้เป็นปีเพื่อทำให้มันชัดเจนว่ามีบางอย่างผิดปกติกับสถานการณ์นี้

เมื่อฉันถูกบอกให้เตรียมตัวในกรณีที่เราไม่ชนะ ฉันพูดเลยว่า ฉันเตรียมตัวรับเรื่องนี้ไม่ได้ ทันทีที่ฉันตื่นขึ้นมาเขาก็มีความผิดแล้ว ไม่มีใครสามารถโน้มน้าวให้ฉันออกจากความเจ็บปวดที่เขาทำกับฉันได้ สิ่งที่แย่ที่สุดคือ ฉันถูกเตือน เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าฉันจำอะไรไม่ได้ เขาจะเขียนบทที่เขาสามารถพูดอะไรก็ได้ที่เขาต้องการ และไม่มีใครแย้งได้ ฉันไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเสียง ไม่มีที่พึ่งพิง เขาจะใช้ความทรงจำที่หายไปของฉันในการสู้คดีกลับ คำให้การของฉันอ่อนไปและไม่สมบูรณ์ ฉันถูกทำให้เชื่อว่าตัวเองจะไม่ดีพอที่ชนะคดีนี้ ทนายของเขาย้ำคณะลูกขุนอยู่เสมอว่า “คนเดียวที่สามารถเชื่อถือได้คือ บร็อค เพราะเธอจำอะไรไม่ได้” นั่นมันทำให้ฉันรู้สึกไร้สิ้นหนทางจนเกิดความบอบช้ำทางจิตใจ

แทนที่จะใช้เวลาในการรักษาตัว ฉันกลับต้องใช้เวลากับการนึกถึงรายละเอียดอันแสนระทมในคืนนั้นแทน เพื่อเตรียมรับมือกับคำถามของทนายที่พร้อมจะล่วงละเมิด ก้าวร้าว และออกแบบเพื่อทำให้คำให้การของฉันขัดแย้งกันเองกับน้องสาว เพื่อที่จะควบคุมคำตอบของฉัน แทนที่จะให้ทนายถามว่า “คุณสังเกตเห็นรอยถลอกไหม” เขากลับถามว่า “คุณไม่ได้สังเกตเห็นรอยถลอกใช่ไหม?” มันเป็นเกมกลยุทธ์ที่ดูเหมือนว่าฉันสามารถปลอมแปลงคุณค่าของตัวเองได้ การล่วงละเมิดทางนั้นชัดเจนมากแต่ฉันกลับถูกให้พิจารณาคดีโดยการตอบคำถามพวกนี้แทน เช่น

คุณอายุเท่าไร? น้ำหนักเท่าไร? วันนั้นคุณกินอะไร? แล้วมื้อเย็นละ? ใครทำอาหารเย็นให้? คุณดื่มด้วยหรือเปล่า? ไม่หรอ ไม่ดื่มแม้แต่น้ำเปล่าเลยหรือ? แล้วคุณดื่มกี่โมง? ดื่มไปมากแค่ไหน? แก้วแบบไหนที่คุณใช้? ใครเป็นคนเอาเครื่องดื่มให้คุณ? ปกติแล้วคุณดื่มหรือเปล่า? ใครมาส่งคุณที่งานปาร์ตี้? กี่โมง? ตรงไหน? คุณใส่ชุดอะไร? ทำไมถึงไปงานปาร์ตี้? พอไปถึงงานแล้วคุณทำอะไร? แน่ใจนะว่าทำอย่างนั้น? แล้วเวลาละ? ข้อความนี้หมายถึงอะไร? คุณส่งข้อความนี้ไปให้ใคร? คุณไปเข้าห้องน้ำเมื่อไร? ที่ไหน? ไปเข้าห้องน้ำข้างนอกกับใคร? ตอนน้องสาวคุณโทรมาโทรศัพท์ปิดเสียงอยู่หรือเปล่า? คุณจำได้มั้ยว่าตัวเองปิดเสียงโทรศัพท์? เพราะว่าจริงๆ แล้ว ในหน้า 53 ผมอยากชี้ให้คุณเห็นว่าคุณตั้งค่าให้เปิดเสียงไว้ ตอนอยู่มหาวิทยาลัยคุณดื่มหรือเปล่า? คุณบอกว่าตัวเองเป็นสาวปาร์ตี้หรอ? คุณภาพตัดบ่อยมั้ย? คุณไปงานเลี้ยงคืนสู่เหย้าหรือเปล่า? คุณคิดจริงจังกับแฟนของคุณหรือเปล่า? ได้มีเพศสัมพันธ์กันมั้ย? เริ่มออกเดทด้วยกันตั้งแต่เมื่อไร? คุณเคยคิดจะนอกใจหรือเปล่า? แล้วคุณเคยนอกใจมั้ย? ที่คุณบอกอยากให้รางวัลเขามันหมายความว่าอะไร? คุณจำได้มั้ยว่าตื่นขึ้นตอนไหน? คุณใส่เสื้อคาร์ดิแกนอยู่หรือเปล่า? เสื้อคาร์ดิแกนสีอะไร? ยังมีเรื่องอื่นๆในคืนนั้นที่คุณยังจำได้อีกมั้ย? ไม่มี? โอเค เราจะให้บร็อคเป็นคนบอกข้อมูลเพิ่มเอง

ฉันถูกอัดด้วยคำถามชี้นำ เจาะลึกชีวิตส่วนตัว ชีวิตรัก ชีวิตครอบครัว ช่วงชีวิตที่ผ่านมา คำถามไร้สาระที่พยายามรวบรวมรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อหาข้อแก้ตัวให้กับผู้ชายที่ถอดเสื้อผ้าฉันไปครึ่งท่อนก่อนจะถามชื่อฉันด้วยซ้ำ หลังจากถูกทำร้ายร่างกาย ฉันยังถูกทำร้ายด้วยคำถามที่ออกแบบมาเพื่อโจมตีฉันโดยเฉพาะด้วย เช่น ข้อเท็จจริงที่เธอให้มันไม่ตรงกัน หล่อนเป็นบ้า ที่จริงแล้วเธอเป็นคนติดเหล้า บางทีเธออาจจะอยากเอากับนักกีฬา พวกเขาเมาทั้งคู่นี่ ถึงอย่างไรก็เถอะ เรื่องที่เธอจำได้ที่โรงพยาบาลก็เป็นเรื่องหลังจากเกิดเหตุ แล้วทำไมถึงต้องเอามานับรวมกันด้วย บร็อคมีสิ่งที่ต้องเดิมพันอีกตั้งหลายอย่าง ในตอนนี้เขาเลยมีช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก

พอถึงเวลาที่เขาต้องให้การ ฉันก็ได้เข้าใจความหมายของการตกเป็นเหยื่ออีกครั้ง และอยากเตือนว่า คืนที่เกิดเหตุเขาบอกว่าไม่เคยคิดจะพาฉันกลับไปที่หอพัก เขาบอกว่าเขาไม่รู้ว่าทำไมพวกเราถึงไปอยู่หลังกองขยะได้ เขาเดินหนีออกไปเพราะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อถูกตามไล่และโดนทำร้ายกระทันหัน แล้วเขาก็เพิ่งรู้ว่าฉันจำอะไรไม่ได้

ตามที่คาดการณ์เอาไว้ หนึ่งปีให้หลัง บร็อคก็มีเรื่องแปลกๆ ใหม่ๆ ขึ้นมา บทสนทนาใหม่ๆ ถูกแต่งขึ้น ฟังดูแล้วเหมือนนิยายวัยรุ่นชั้นเลวที่มีการจูบ การเต้น การจับมือ และร่วงหล่นสู่ห้วงรัก ที่สำคัญที่สุดในเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมาใหม่นี้คือ มีการยินยอมเกิดขึ้น หนึ่งปีหลังจากเกิดเหตุ จู่ๆ เขาก็จำได้ทั้งหมด อ๋อครับ ใช่ เธอตอบตกลง ยอมทุกอย่างเลย

เขาบอกว่า เขาถามฉันแล้วว่าอยากเต้นมั้ย ฉันตอบอย่างชัดเจนว่า อยาก เขาถามต่อ แล้วฉันอยากไปที่หอด้วยกันหรือเปล่า ฉันก็ตอบว่า อยาก เขาก็เลยถามต่อว่า แล้วเขาใช้นิ้วด้วยได้มั้ย ฉันเลยตอบว่า ได้ ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ถามกันหรอกว่า ผมขอใช้นิ้วด้วยได้มั้ย ปกติแล้ว ทุกเรื่องมันจะมีความคืบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ เผยให้เห็นความยินยอมสมัครใจ ไม่ใช่การถาม-ตอบ แต่เห็นได้ชัดเลยว่า ฉันยินยอมทุกประการ เขาบริสุทธิ์ แม้แต่ในเรื่องของเขา ก่อนที่เขาจะทำให้ฉันตกอยู่ในสภาพกึ่งเปลือยบนดิน ฉันก็พูดได้เพียงสามคำเท่านั้น ใช่ ใช่ ใช่ สำหรับการอ้างอิงในอนาคต ถ้าคุณกำลังสงสัยว่าผู้หญิงมีความสามารถในการยินยอมได้หรือจริงหรือไม่ ให้ดูว่าเธอคนนั้นพูดได้เต็มประโยคหรือเปล่า คุณยังทำแบบนั้นไม่ได้หากเป็นแค่คำๆ เดียว มันน่าสับสนตรงไหนกัน นี่คือสามัญสำนึก คือศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

ตามที่เขากล่าว เหตุผลเดียวที่เราอยู่นอนบนดินเพราะฉันล้ม โน๊ตไว้ ถ้ามีผู้หญิงล้ม ก็เข้าไปช่วยให้เธอลุก และถ้าเธอเมาจนเดินไม่ไหวและล้มลง อย่าขึ้นไปคร่อม อย่าไปลูบไล้ อย่าไปถอดชุดชั้นใน และอย่าเอามือล้วงเข้าไปในอวัยวะเพศของเธอ ถ้าผู้หญิงล้ม ก็ให้ความช่วยเหลือ ถ้าเธอใส่เสื้อคาร์ดิแกนทับชุดเดรสอยู่ก็อย่าไปถอดออกเพื่อที่คุณจะได้สัมผัสหน้าอกได้ บางทีเธออาจจะหนาว และนั่นอาจจะเป็นเหตุว่าทำไมเธอถึงใส่คาร์ดิแกน

ต่อมา มีชาวสวีเดนสองคนขี่จักรยานเข้ามาใกล้ แล้วคุณก็วิ่งหนี ตอนที่พวกเขาจับตัวคุณได้ ทำไมไม่พูดว่า “หยุด! ทุกอย่างปกติดี ไปถามเธอได้เลย เธออยู่ตรงนั้นไง เดี๋ยวเธอก็บอกคุณเอง” ฉันหมายถึงก็คุณถามความยินยอมฉันแล้วนี่ แล้วฉันก็ยังมีสติอยู่ด้วย ใช่มั้ยละ แต่พอตำรวจมาถึงแล้วสอบปากคำชาวสวีเดนใจร้ายที่จับคุณไว้ พวกเขาถึงกับร้องไห้ และพูดไม่ออกเพราะสิ่งที่พวกเขาได้เห็น

ทนายความของคุณชี้ให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราไม่รู้แน่ชัดว่าเธอหมดสติตอนไหน คุณพูดถูก บางทีฉันอาจจะยังกะพริบตา ยังไม่ได้นอนแน่นิ่งโดยสมบูรณ์ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ฉันเมาเกินกว่าจะพูดภาษาอังกฤษได้ เมาเกินกว่าจะยินยอมที่จะนอนอยู่บนพื้น ฉันไม่ควรถูกแตะต้องตั้งแต่แรกแล้ว บร็อคบอกว่า “ผมไม่ทันสังเกตว่าเธอไม่ตอบโต้ ถ้าผมสังเกตเห็น ผมก็จะหยุดทันที” เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ถ้าแผนของคุณคือจะหยุดเฉพาะตอนที่ฉันไม่สามารถโต้ตอบได้ แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจ ตอนนั้นฉันหมดสติไปแล้วแต่คุณก็ยังไม่หยุดอยู่ดี! มีคนมาห้ามคุณไว้ต่างหาก ผู้ชายสองคนที่ปั่นจักรยานมาสังเกตเห็นในความมืดว่าฉันไม่ขยับเลยรวบตัวคุณเอาไว้ ตอนอยู่บนตัวฉันคุณไม่สังเกตบ้างเลยหรอ?

คุณบอกว่าคุณจะหยุดและขอความช่วยเหลือ คุณบอกอย่างนั้น แต่ฉันต้องการให้คุณอธิบายอย่างละเอียด จากหนึ่งไปสองว่าคุณจะช่วยฉันได้อย่างไร ฉันสงสัยว่าคืนนั้นจะผ่านไปแบบไหนถ้าคนสวีเดนใจร้ายเหล่านั้นไม่เจอฉัน ฉันกำลังถามคุณว่า คุณจะช่วยใส่กางเกงในที่กรอมอยู่เหนือรองเท้าให้กลับคืนที่เดิมได้หรือเปล่า? ช่วยคลายสร้อยที่พันรอบคอฉันออกด้วยได้ไหม? ปิดขาที่อ้าออกแล้วหาอะไรมาห่มให้ฉัน คุณจะดึงใบไม้ออกจากผมให้ด้วยใช่หรือเปล่า? จะถามฉันมั้ยว่าเจ็บแผลถลอกที่คอกับก้นหรือเปล่า? แล้วคุณคิดจะเดินไปหาเพื่อนเพื่อบอกว่า ช่วยพาฉันไปที่อุ่นๆ และปลอดภัยด้วยมั้ย? ฉันนอนไม่หลับทุกครั้งที่นึกถึงว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง ถ้าสองคนนั้นไม่ได้ขับจักรยานผ่านมา นี่เป็นคำถามที่คุณไม่มีคำตอบที่ดีให้เลย เป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถอธิบายได้แม้ว่าจะผ่านไปเป็นปีแล้วก็ตาม

เหนือสิ่งอื่นใดคือ เขาอ้างว่าฉันถึงจุดสุดยอดภายในนาทีเดียวจากการใช้นิ้วสอดเข้าไป พยาบาลบอกว่า พบรอยถลอก ฉีดขาด และสิ่งสกปรกในอวัยวะเพศของฉัน แล้วเรื่องพวกนี้มันมาก่อนหรือหลังจากที่ฉันเสร็จกันแน่ล่ะ?

การที่จะต้องมาปฏิญาณคำสัตย์ และที่จะต้องมาแถลงต่อเราทุกคนว่า ใช่ ฉันอยากโดนเอง ใช่ ฉันอนุญาตเอง และเป็นคุณเองที่ตกเป็นเหยื่อที่แท้จริงเพราะถูกคนสวีเดนทำร้ายร่างกายอย่างหาสาเหตุไม่ได้ มันช่างน่าหวาดประหวั่น บ้าคลั่ง ไม่คิดถึงผู้อื่น มีแต่ความเสียหายทั้งนั้น กระบวนการทั้งหมดนี้มันยังทำให้คุณเจ็บปวดไม่พออีกหรือ? ทั้งหมดนี้มันก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่ใครสักคนพยายามอย่างไร้ความปราณีเพื่อลดทอนความสมเหตุสมผลต่อเรื่องอันเจ็บปวดนี้

ส่วนครอบครัวของฉันต้องมาเห็นภาพศีรษะของฉันติดอยู่กับเตียงสนามที่เต็มไปด้วยใบไม้ ร่างกายเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก หลับไม่มีสติ ผมที่ยุ่งเหยิง แขนขางอ และเสื้อผ้าที่ถูกถลกขึ้น นอกจากนั้น ครอบครัวของฉันยังต้องมาฟังทนายของคุณบอกว่า ภาพพวกนี้ถูกถ่ายมาทีหลัง และเราสามารถปฏิเสธไม่ยอมรับหลักฐานได้ ถึงพยาบาลของเธอจะยืนยันว่า เธอมีรอยแดงช้ำในร่างกาย และได้รับบาดเจ็บที่อวัยวะเพศอย่างรุนแรง แต่นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณใช้นิ้วเข้าไปในร่างกายใครสักคน และคนๆ นั้นก็ยินยอมแล้วด้วย ฟังดูแล้วทนายของคุณพยายามจะสร้างภาพลักษณ์ให้ฉันกลายเป็นผู้หญิงบ้าๆ ราวกับว่าฉันรอที่จะโดนแบบนี้อยู่แล้ว จากที่เขาพูดว่าเสียงในโทรศัพท์ของฉันดูเมา นั่นทำให้ฉันดูงี่เง่า วิธีการพูดก็ดูโง่ และชี้ประเด็นให้เห็นว่า ในข้อความเสียงที่บอกว่า ฉันจะให้รางวัลกับแฟน พวกเราทุกคนก็รู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ฉันรับรองได้เลยว่ารางวัลนี้ไม่สามารถยกให้ใครก็ได้ โดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่เข้ามาใกล้ฉัน

ในระหว่างการพิจารณาคดี เขาทำร้ายฉันและครอบครัวอย่างที่ไม่มีอะไรมากู้คืนได้ พวกเรานั่งเงียบๆ ฟังเขาปั้นเรื่องราว แต่สุดท้าย คำให้การที่ไร้มูลความจริง และตรรกะที่ผิดเพี้ยนโดยทนายความของเขาก็หลอกใครไม่ได้ ความจริงจะเป็นฝ่ายชนะ ความจริงจะพูดออกมาเอง

คุณเป็นคนผิด คณะลูกขุนทั้ง 12 คนตัดสินโดยปราศจากข้อสงสัย ว่าคุณมีความผิดทางอาญา 3 กระทง กระทงละ 12 เสียง ทั้งหมด 36 เสียงที่เป็นมติเอกฉันท์ว่าคุณมีความผิดเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉันคิดว่าในที่สุดมันก็จบลงแล้ว เขาจะยอมรับในสิ่งที่เขาก่อ ขอโทษอย่างจริงใจ เราทุกคนจะดีขึ้นและก้าวต่อไปได้ จนกระทั่งฉันได้อ่านคำแถลงการณ์ของคุณ

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของนักศึกษาขี้เมาที่มีการตัดสินใจผิดพลาด การล่วงละเมิดทางเพศไม่ใช่อุบัติเหตุ

ถ้าคุณหวังให้ฉันอกแตกตายเพราะความโกรธแล้วล่ะก็ มันใกล้แล้วล่ะ คุณเกือบจะทำมันได้แล้ว นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของนักศึกษาขี้เมาที่มีการตัดสินใจผิดพลาด การล่วงละเมิดทางเพศไม่ใช่อุบัติเหตุ ฉันไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงยังสับสนอยู่ ตอนนี้ฉันจะอ่านคำแถลงการณ์ของจำเลยบางส่วนและตอบกลับค่ะ

พาร์ท2

--

--

makmild

หญิงสาวธรรมดาที่เพิ่งพบว่าชีวิตเป็นสิ่งอัศจรรย์และเหนื่อยยาก